วิธีพัฒนาการเทรด Forex ให้ดียิ่งขึ้น
การสร้างกลยุทธ์การซื้อ-ขาย ที่ยอดเยี่ยมได้นั้น เทรดเดอร์จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและรู้ถึงความเสี่ยงที่ตัวเทรดเดอร์เองยอมรับได้ ไม่เพียงแค่เท่านั้นเทรดเดอร์จะต้องพิจารณาการเงินทั้งในระยะสั้น และระยะยาว บวกกับทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะมีวิธีไหนบ้าง โบรกเกอร์ forex ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตการเทรดได้บ้าง
วิธีพัฒนาการเทรด Forex
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ หรือเทรดเดอร์ขั้นเซียน ที่กำลังหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพกับกลยุทธ์ในการเทรดของคุณอยู่ การใช้เวลาวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ และกำหนดแนวทางที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
- กลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพนั้น เทรดเดอร์จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของตัวเราเองด้วย
- การเทรด ออปชั่น ฟิวเจอร์ส และอนุพันธ์อื่นๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างพอร์ตการเทรดของคุณ
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค จะทำให้เทรดเดอร์วิเคราะห์แนวโน้ม การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
1.อินดิเคเตอร์ยืนยันแนวโน้ม
แนวโน้มที่ได้จากอินดิเคเตอร์ข้างต้นเป็นแค่อาจจะ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องมีอินดิเคเตอร์ที่ช่วยยืนยันว่า แนวโน้มที่คุณได้มานั้นเป็นของจริง เพราะแนวโน้มหลอกๆ เกิดขึ้นบ่อยมากบนตลาด
อินดิเคเตอร์สำคัญๆ ที่ใช้ในการยืนยันแนวโน้ม เช่น RSI, MACD เป็นต้น
2.กำหนดความเสี่ยง
เพราะไม่มีใครสามารถทำกำไรจากการเทรด Forex ได้ทุกครั้ง ดังนั้น การกำหนดระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้จากการเทรดแต่ละครั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ความเสี่ยงที่จะถูกล้างพอร์ตมีน้อยลง โดยที่เทรดเดอร์แต่ละคนจะมีระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้แตกต่างกันออกไป
3.กำหนดจุดเข้าและจุดออก
หลังจากที่กำหนดความเสี่ยงของคุณเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำหนดจุดเข้าและจุดออก ซึ่งเทรดเดอร์แต่ละคนจะมีวิธีการที่แตกต่างกัน
-สำหรับจุดเข้า บางคนอาจจะเลือกเข้าทันทีเมื่อยืนยันแนวโน้มเรียบร้อยแล้ว โดยไม่รอให้กราฟปิดแท่งก่อน แต่บางคนอาจจะรอให้กราฟปิดแท่งเสียก่อนแล้วจึงเข้า เพราะมีหลายครั้งที่กราฟปิดแท่งในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คิดไว้
-ส่วนจุดออก คุณสามารถกำหนดจุดออกโดยใช้คำสั่งอย่าง Stop Loss, Take Profit หรือ Trailing Stop เพื่อปิดการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับที่กำหนด บางคนอาจจะใช้แนวรับแนวต้านสำคัญเป็นจุดออก ขณะที่เทรดเดอร์บางส่วนอาจเลือกที่จะกำหนดจำนวน pip ที่ต้องการจากการเทรดแต่ละครั้ง
การประเมินความอดทนต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ความอดทนต่อความเสี่ยงนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเทรด การประเมินความเสี่ยงใหม่อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเทรดเดอร์ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเงินหรือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป การประเมินความเสี่ยงตามเวลา เป็นแนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมและยังสามารถช่วยกำหนดกลยุทธ์ทั้งแบบทันที และแบบระยะยาวได้เป็นอย่างดี หากเทรดเดอร์วางแผนมีขอบเขตการลงทุนที่ยาวขึ้น เทรดเดอร์ก็จะสามารถอดทนในระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้แม้ในขณะที่มีความผันผวนเกิดขึ้น
แต่หากเทรดเดอร์มีขอบเขตและกำหนดระยะการลงทุนในระยะสั้น การเลือกใช้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำนั้นจะดีที่สุด ซึ่งจะช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณในขณะที่ยังคงความเสี่ยงโดยรวมไว้ ทุนที่ใช้เสี่ยงนั้น เป็นอีกหนึ่งข้อพิจารณาที่สำคัญที่สุดและควรประเมินให้บ่อยที่สุด
หากคุณยังเป็นมือใหม่ในการซื้อขาย การจำกัดเงินทุนความเสี่ยงไว้ที่ 10% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมจะช่วยจำกัดความเสี่ยง แล้วจึงค่อยๆขยับเงินทุนเป็น 25% ในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันการสูญเสียและความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
การเลือกผลิตภัณฑ์การเทรดให้เหมาะสมกับตัวคุณ
ไม่ว่าเทรดเดอร์จะสนใจตัวเลือกการซื้อขาย ค่าเงิน, ทองคำ, ฟิวเจอร์หรือหลักทรัพย์อื่นๆ การทำความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ที่เพิ่มลงในพอร์ตเป็นส่วนสำคัญ ในการพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่สมดุล แม้ว่าบางตัวเลือกจะมีความซับซ้อนและความเสี่ยงอยู่บ้าง
ฟิวเจอร์นั้นก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่เพิ่มสภาพคล่องในพอร์ตได้เช่นเดียวกับตราสารทางการเงินที่หลากหลายและยังรวมถึง หุ้น คู่เงิน Forex และสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะโดยรวมมันจะสามารถชดเชยความเสี่ยงไปยังส่วนอื่นๆได้ การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเป็นแนวทางการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญในด้านกลยุทธ์การซื้อ-ขาย ที่เหมาะสมกับแนวโน้มตลาดและวัตถุประสงค์ของคุณแล้ว การพิจารณาตัวเลือกที่เหมาะสมและเครื่องมือทางการเงินอื่นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตของคุณได้ และอาจนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีความผันผวนอย่างมาก
การปรับตำแหน่งบ่อยๆ ช่วยจำกัดการขาดทุนได้
การวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Leverage
ในขณะที่เทรดเดอร์เพิ่มการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยระบุโอกาสในการซื้อขายใหม่และยังเป็นวิธีวัดความแข็งแกร่งในการเคลื่อนไหวของตลาด
การมุ่งเน้นไปที่ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น ปริมาณความสมดุล, ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) และ Stochastic oscillator จะสามารถช่วยคุณในการสร้างสัญญาณและช่วยตัดสินใจในการซื้อ-ขายได้
การพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่เทรดเดอร์ต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในสถานการณ์และเป้าหมายโดยรวม การพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตและนำไปสู่ผลตอบแทนที่มั่นคง